![กาพ่นสี](http://i0.wp.com/calibration-nonthaburi.com/wp-content/uploads/2021/12/paint-sprayer.jpg)
กาพ่นสี เป็นเครื่องมือช่างที่ใช้ในการพ่นของเหลวซึ่งใช้ในการตกแต่งชิ้นงานให้มีสีสันที่สวยงาม ซึ่งจะช่วยให้การทำงานสีนั้นง่ายสะดวดและรวดเร็วกว่าที่จะมานั่งใช้แปรงหรือลูกกลิ้ง สำหรับชิ้นงานที่ได้จากการพ่นสีนั้นจะมีรูปแบบของงานที่ออกมาเรียบเนียนสวย ซึ่งการพ่นสีนี้มักใช้ในงานพ่นสี ซ่อมสีรถยนต์ เครื่องอุตสาหกรรม งานเฟอร์นิเจอร์ สำหรักการทำงานของกาพี่สีนี้จะเป็นการใช้อากาศอัดมาตีของเหลวหรือสีให้เป็นฝอย เมื่อพ่นลงไปบนพื้นผิวของงาน อากาศอัดเเละสีจะเข้าไปในกาพ่นสีจากนั้นจะมาผสมกันที่ภายนอก แล้วพ่นออกมาตามลักษณะรูปร่างที่ต้องการ
ประเภทของกาพ่นสีที่ช่างนิยมใช้มีแบบใดบ้าง
1) กาพ่นสีแบบไหลลง หรือ กาพ่นสีบน (Gravity Feed Type) เป็นกาพ่นสีที่มีการไหลของสีแบบไหลลงโดยอาศัยแรงโน้มถ่วง เหมาะกับงานที่ใช้สีหรือของเหลวที่มีความหนืดสูง ใช้สีได้หมด ไม่มีสีตกค้างในตัวกา ทำให้ประหยัดสี แต่มีข้อเสียคือ พ่นสีต่อเนื่องนานไม่ได้เพราะตัวกาบรรจุสีได้น้อย ต้องเติมสีบ่อย
2) กาพ่นสีแบบดูด หรือ กาพ่นสีล่าง (Suction Feed Type) เป็นกาพ่นสีที่มีตัวกาอยู่ด้านล่างของตัวพ่นสี หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า กาล่าง ต้องใช้แรงดูดในการดูดสีขึ้นมาจากตัวกา เหมาะกับงานพ่นสีอุตสาหกรรมเพราะตัวกาสามารถต่อกับถังสีได้โดยตรงทำให้พ่นสีต่อเนื่องได้นาน ทำให้พ่นสีชิ้นงานจำนวนมากได้ กาพ่นสีลมทั่วไปต้องการความดันลมประมาณ 2.5-4 บาร์ ซึ่งจะมีการฟุ้งกระจายของละอองสีค่อนข้างมาก ต้องใช้พื้นที่ในการทำงานที่กว้าง แต่ปัจจุบันกาพ่นสีถูกพัฒนาให้ดีขึ้น ทำให้มีให้เลือกใช้เพิ่มอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่
- กาพ่นสีแบบ Trans-tech ต้องการความดันลมประมาณ 2 บาร์ มีประสิทธิภาพในการฉีดสีสูงกว่า 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับกาพ่นสีทั่วไปที่มีประสิทธิภาพในการฉีดสีต่ำกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ประหยัดสีมากขึ้น
- กาพ่นสีแบบปริมาณลมสูงความดันต่ำ (High Volume Low Pressure: HVLP) ต้องการความดันลมต่ำกว่า 2 บาร์ ทำให้ใช้กับปั๊มลมขนาดเล็กได้ มีการฟุ้งกระจายของละอองสีน้อย สามารถใช้ในพื้นที่การทำงานจำกัดได้ เช่น ภายในบ้าน ภายในห้องเล็ก ๆ เป็นต้น มีประสิทธิภาพในการฉีดสีสูงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ราคาค่อนข้างสูงโดยเฉพาะถ้าเป็นกาพ่นสีแบบกาล่าง การเลือกขนาดของรูหัวฉีดสี
ชนิดของสีที่ใช้พ่นชิ้นงานเป็นแบบใด
ปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งในการเลือกกาพ่นสีลมคือ ชนิดของสีที่ใช้พ่นชิ้นงาน ต้องดูว่ากาพ่นสีรุ่นนี้เหมาะกับสีชนิดใด สีน้ำ สีน้ำมัน สีทา สีย้อม สีแต้ม สีเคลือบ แลกเกอร์ สีที่มีความหนืด หรือแม้แต่ตัวทำละลายที่ใช้ผสมสีเป็นแบบไหน ใช้น้ำ ใช้ตัวทำละลายอินทรีย์ หรือตัวทำละลายที่มีความกัดกร่อนสูง เป็นต้น
การเลือกปั๊มลมที่ใช้ในงานพ่นสีต้องเลือกอย่างไร
นอกจากกาพ่นสีที่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับงานแล้ว ปั๊มลมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาทั้งขนาดของถังเก็บลมและชนิดของปั๊มลม
- ถ้าทำงานพ่นสีเล็กน้อย ชิ้นงานไม่กี่ชิ้น ทำงาน DIY หรือทำเมื่อมีเวลาว่าง ปั๊มลมโรตารี่ ขนาด 30 หรือ 50 ลิตร ก็เพียงพอต่อการใช้งาน เพราะปั๊มลมได้เร็ว ราคาไม่แพงมาก
- ถ้าพ่นสีชิ้นงานหลายชิ้นต่อเนื่องกัน ปั๊มลมแบบสายพานจะเหมาะสมกว่า มีความทนทานมากกว่า แต่ก็ต้องเลือกถังเก็บลมที่มีขนาดใหญ่หน่อย ประมาณ 60 ลิตร เพราะปั๊มลมแบบสายพานปั๊มลมค่อนข้างช้า
- ถ้าต้องการความเงียบ ก็ใช้ปั๊มลม Oil free ขนาด 30 หรือ 50 ลิตร ตามปริมาณชิ้นงานที่ต้องการพ่นสี
- ถ้าพ่นสีชิ้นงานจำนวนมาก ๆ ก็ควรเลือกปั๊มลมขนาด 90 หรือ 160 ลิตร
เลือกกาพ่นสีอย่างไรให้งานออกมาปัง
วิธีเลือกกาพ่นสี จะเลือกอย่างไร จะใช้แบบไหนดีถึงจะเหมาะสมกับงาน วันนี้เรามีวิธีการเลือกกาพ่นสีอย่างไร ให้งานปังมาฝาก ดังนี้
ต้องเลือกจากขนาดของชิ้นงานที่จะใช้พ่นเป็นสำคัญ
เนื่องจากกาพ่นสีแต่ละรุ่นมีประสิทธิภาพในการพ่นแต่ละขนาดของพื้นที่ผิวต่างกัน อาทิ กาพ่นสีขนาดเล็กหรือกลาง เหมาะสำหรับชิ้นงานขนาดเล็ก ส่วนกาพ่นสีขนาดเล็กไปถึงใหญ่ เหมาะกับการพ่นชิ้นงานหน้ากว้างหรือมีขนาดค่อนข้างใหญ่
ความหนืดของสี
ความหนืดของสีก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยในการเลือกกาพ่นสี เพราะถ้าเลือกหัวเข็มที่ใช้พ่นเล็กหรือใหญ่เกินไป อาจจะเสี่ยงต่อการพ่นไม่ออกได้ หรือถ้าเลือกเข็มใหญ่จนเกินไปอาจทำให้ละอองสีที่พ่นออกมามีขนาดใหญ่ ทำให้ชิ้นงานที่ได้ไม่สวยงามและละเอียดเท่าที่ควร
แพทเทิร์นนั้นสำคัญยังไง
คุณทราบหรือไม่ว่ากาพ่นสีที่มีอยู่ทั่วไปนั้น มีแพทเทิร์นหลากหลายรูปแบบมาก ซึ่งส่งผลให้เกิดความยากง่ายในการพ่นสีและความเรียบเนียบที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้พ่นด้วย
ภาชนะบรรจุสีนั้นมีความสำคัญไม่น้อยในการทำงานพ่น
เนื่องจากมีส่วนสำคัญในการเก็บบรรจุสีให้ได้คุณภาพต่อเนื่องยาวนานตลอดการพ่นชิ้นงาน แถมยังช่วยลดภาระเรื่องค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการใช้ทินเนอร์อีกด้วย เนื่องจากการใช้ภาชนะที่ใหญ่จนเกินไปส่งผลให้ต้องใช้ทินเนอร์ล้างทำความสะอาดในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น